![](https://www.forex4you.com/th/wp-content/uploads/sites/4/2020/02/5-Basics-of-Cryptocurrency-Technical-Analysis-new.png)
Excerpt: เรียนรู้พื้นฐานการวิเคราะห์สกุลเงินคริปโตทางเทคนิคด้วยคู่มือจาก Forex4you เจาะลึกถึงประเภทต่าง ๆ ของการวิเคราะห์ และเรียนรู้วิธีการใช้เพื่อเทรดสกุลเงินคริปโตโปรดของคุณ
สกุลเงินคริปโตเป็นประเภทสินทรัพย์อีก 1 ประเภทที่มีศักยภาพสูงสำหรับเทรดเดอร์ เพื่อให้เทรดเดอร์ลงทุนได้อย่างหลากหลายและเพิ่มกำไรให้สูงสุด หลายปีที่ผ่านมา การเทรดสกุลเงินคริปโตได้ผลกำไรสูง เนื่องจากเทรดเดอร์สามารถทำกำไรจากการเคลื่อนไหวขึ้นและลงของราคา เมื่อพูดถึงการเทรด มีวิธีวิเคราะห์หลัก ๆ 2 วิธีที่เป็นที่นิยมมากในหมู่เทรดเดอร์และนักลงทุน นั่นคือ การวิเคราะห์ทางเทคนิคและการวิเคราะห์พื้นฐาน ซึ่งวิธีทั้ง 2 วิธีนี้ใช้ได้กับการเทรดสกุลเงินคริปโตเช่นกัน การวิเคราะห์พื้นฐานกำหนดมูลค่าของสกุลเงินคริปโตได้ด้วยการศึกษาและวิเคราะห์ตัวแปรและตัวชี้วัดที่สำคัญ ซึ่งเปิดเผยข้อมูลที่สำคัญเกี่ยวกับโครงการคริปโตที่เป็นปัญหา ข้อมูลนี้จะช่วยประเมินโอกาสของสกุลเงินคริปโตที่จะช่วยให้เทรดเดอร์ตัดสินใจว่าควรลงทุนหรือไม่ ในโลกของสกุลเงินคริปโต การวิเคราะห์พื้นฐานมักใช้โดยนักลงทุนระยะยาวที่ตั้งใจซื้อ และถือไว้ระยะยาวมาก กลยุทธ์การเทรดสกุลเงินคริปตนี้มักถูกเรียกว่า HODL เช่นกัน ในทางกลับกัน การวิเคราะห์ทางเทคนิคจะวิเคราะห์ข้อมูลราคาในอดีตเพื่อคาดการณ์การเคลื่อนไหวของราคาของสกุลเงินคริปโตในระยะใกล้และระยะยาว เทรดเดอร์และนักลงทุนใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิคในการตัดสินใจระยะสั้นและระยะยาว
การวิเคราะห์สกุลเงินคริปโตทางเทคนิค: มันคืออะไร?
การวิเคราะห์ทางเทคนิคศึกษาเกี่ยวกับแผนภูมิของตราสารทางการเงินในอดีต และระบุรูปแบบที่เกิดซ้ำ ๆ กฎหลักของวิธีการนี้คือ ราคาของเงินคริปโตสะท้อนทุกอย่างที่ควรรู้ไว้แล้ว ทั้งปัจจัยพื้นฐาน แนวความคิด และข้อมูลอื่น ๆ ได้ถูกแสดงโดยพฤติกรรมราคาบนแผนภูมิของเงินคริปโต ดังนั้น นักวิเคราะห์ทางเทคนิค/เทรดเดอร์เงินคริปโตจึงให้ความสำคัญกับแผนภูมิราคา และข้อมูลต่าง ๆ ที่ใช้ก็ขึ้นอยู่กับแผนภูมิราคานี้ สำหรับมือใหม่อาจซับซ้อนในช่วงแรก การวิเคราะห์สกุลเงินคริปโตทางเทคนิคหลัก ๆ แล้วขึ้นอยู่กับข้อสมมติฐาน 3 ข้อ ดังนี้:
ตลาดลดราคาทุกอย่าง
ราคาเคลื่อนไหวตามแนวโน้ม
ประวัติศาสตร์มีแนวโน้มที่จะซ้ำรอย
การเทรดสกุลเงินคริปโตก็เหมือนกับ การเทรด Forex หรือหุ้น เทรดเดอร์เงินคริปโตสามารถใช้ประโยชน์จากตัวชี้วัดทางคณิตศาสตร์ Oscillator และเครื่องมือวาดเพื่อช่วยในการตัดสินใจเทรด
ประเภทของการวิเคราะห์ทางเทคนิค: แผนภูมิเส้น แนวรับและแนวต้าน รูปแบบราคา
เทรดเดอร์เงินคริปโตหรือนักลงทุนที่ใช้แผนภูมิ เรียกว่านักอ่านแผนภูมิ (chartist) นักอ่านแผนภูมิมักจะวาดเส้นแนวนอนหรือเส้นทแยงเพื่อกำหนดระดับ หรือจุดที่ราคาของสินทรัพย์สามารถตอบสนองได้ เส้น 3 เส้นหลักที่ใช้ คือ เส้นแนวโน้ม เส้นแนวรับ และเส้นแนวต้าน
เส้นแนวโน้ม (Trendlines)
เส้นแนวโน้มคือ เส้นทแยงมุมที่ระบุแนวโน้ม เมื่อแนวโน้มยังคงดำเนินต่อไป เส้นแนวโน้มสามารถวาดได้จากจุด 2 จุดไปตามแนวโน้ม จากนั้นลากไปยังจุดที่คาดการณ์ไว้ บ่อยครั้งที่เมื่อราคาเงินคริปโตเข้าใกล้เส้นแนวโน้ม ราคาจะตอบสนอง 2 แบบ ถ้าราคากระเด้งออกจากเส้น เป็นไปได้สูงที่แนวโน้มจะดำเนินต่อไป แต่ถ้าราคาทะลุเส้นแนวโน้มไปทิศทางตรงกันข้ามกับแนวโน้ม หมายความว่าแนวโน้มจะหยุดชั่วคราว อ่อนกำลังลง หรืออาจจะเคลื่อนไหวไปในแนวโน้มตรงกันข้าม
![](https://www.forex4you.com/th/wp-content/uploads/sites/4/2020/02/BTCUSD-trendlines-new.png)
แผนภูมิข้างบนแสดงตัวอย่างของคู่บิทคอยน์ USD ซึ่งเทรดในกรอบเวลารายวัน คุณจะเห็นได้จากแผนภูมิว่า เมื่อราคาบิทคอยน์ลดลงในปีพ.ศ. 2561 แผนภูมิราคาแสดงจุด 2 จุด (19586 และ 6700) เพื่อลากเส้นแนวโน้มขาลง เส้นแนวโน้มใช้คาดการณ์อนาคตเพื่อช่วยระบุว่าราคาอาจจะพลิกกลับขึ้นข้างบน แนวโน้มขาลงดำเนินไป 1 ปีก่อนที่จะฝ่าออกไปในเดือนมกราคมพ.ศ. 2562 ตั้งแต่นั้นมา แนวโน้มขาลงก็หยุด และราคาขยับขึ้นข้างบน ด้วยหลักการเดียวกันนี้ เส้นแนวโน้มก็ถูกวาดเพื่อแสดงแนวโน้มขาขึ้นปัจจุบันเช่นกัน ถ้าราคาลงไปต่ำกว่าเส้นแนวโน้ม ราคาบิทคอยน์ก็อาจจะลงไปถึง 5000 หรือต่ำกว่านั้น
ใช้เส้นแนวรับและแนวต้านอย่างไร?
เชื่อกันว่าราคาคริปโตมีหน่วยความจำ ถ้าผู้ซื้อไม่สามารถรับราคาที่สูงกว่าระดับหนึ่ง ๆ ในอดีตก่อนที่ผู้ขายจะเข้ามา ระดับนั้นจะเรียกว่า ระดับแนวต้าน หรือก็คือระดับแนวต้านเกิดขึ้น ณ จุดที่อุปทานมากกว่าอุปสงค์ต่อตราสารทางการเงินนั้น ๆ ส่วนระดับแนวรับเกิดขึ้นเมื่ออุปสงค์มากกว่าอุปทาน และราคาจะถูกดึงให้สูงขึ้น นักอ่านแผนภูมิมักระบุระดับเหล่านี้ด้วยเส้นแนวนอน และเชื่อว่าราคาจะตอบสนองต่อเส้นเหล่านี้ในอนาคต อาจจะมีระดับแนวต้านเหนือราคาคริปโตหลายระดับ และมีระดับแนวรับหลายระดับใต้ราคาคริปโต ถ้าระดับแนวต้านถูกฝ่าออกไปข้างบน ราคาก็น่าจะขยับไปที่ระดับถัดไป ในขณะที่ระดับแนวต้านที่ถูกฝ่ากลายเป็นระดับแนวรับ แนวคิดนี้ใช้กับระดับแนวรับเช่นกัน ระดับแนวรับที่ถูกฝ่าลงไปข้างล่างจะกลายเป็นระดับแนวต้าน และราคาสามารถลงต่ำไปได้อีกจนกว่าจะไปถึงระดับแนวรับถัดไป ระดับแนวรับและแนวต้านยังเป็นโซนพลิกกลับสำหรับราคาอีกด้วย
![](https://www.forex4you.com/th/wp-content/uploads/sites/4/2020/02/BTCUSD-Support-and-Resistance-new.png)
แผนภูมิข้างบนแสดงการเทรดบิทคอยน์ต่อ USD ในกรอบเวลารายวัน หลังจากแนวโน้มขาลงในปีพ.ศ. 2561 รวบรวมแรงกระตุ้น ราคาก็กลับมาที่ 5800 ในต้นเดือนกุมภาพันธ์ (ลูกศรสีแดงอันแรก) ช่วงปลายเดือนมิถุนายนและกลางเดือนกันยายน ราคาทดสอบอีกครั้งที่ 5800 และยังคงได้รับการสนับสนุน ระดับราคานี้กลายเป็นระดับแนวรับที่แข็งแกร่ง และหลาย ๆ คนก็เชื่อในเวลานั้น บิทคอยน์น่าจะแตะที่ 3000 (กลับมาที่ระดับนั้นและกระเด้งอีกครั้ง)
ถ้าเราย้อนเวลากลับไปช่วงนั้น ที่ระดับ 3000 เคยเป็นระดับที่เกิดแนวต้านในวันที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2560 หลังจากการฝ่าออกมาในวันที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2560 ระดับนั้นถูกทดสอบอีกครั้งในวันที่ 15 กันยายน แต่ยังคงเป็นระดับแนวรับ ราคาก็พุ่งขึ้นข้างบนเพื่อแตะที่ระดับที่สูงกว่า ดังนั้น ระดับ 3000 จึงกลายเป็นระดับแนวรับถัดไป ซึ่งอยู่ต่ำกว่า 5800 เมื่อในที่สุดราคาลงไปต่ำกว่า 5800 ช่วงกลางเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2561 ราคาก็ลงต่ำอย่างต่อเนื่องไปที่ 3100 (ซึ่งใกล้กับระดับ 3000 มาก) ราคาบิทคอยน์ไม่ถอยกลับไปเมื่อฝ่าระดับแนวต้านครั้งแรกที่ 5800 (แนวรับกลายเป็นแนวต้าน) และแตะที่เหนือระดับแนวต้านถัดไปที่ 9100 เล็กน้อยเมื่อปลายเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2561 (ซึ่งสร้างขึ้นเมื่อปลายเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2561) ที่ระดับราคาปัจจุบัน นักอ่านแผนภูมิจะคาดหวังว่าบิทคอยน์จะเข้ามาใกล้เพื่อทดสอบ 5800 (ตอนนี้เป็นระดับแนวรับ) ถ้าบิทคอยน์ลงไปต่ำกว่านั้น ระดับแนวรับถัดไปคือ 3100-3000 อย่างไรก็ตาม ถ้า 9100 ถูกข้าม ราคา BTCUSD อาจขยับต่อเนื่องไปยังระดับแนวต้านถัดไปที่ 9800 และ 11700
ทำไมเทรดเดอร์ควรศึกษารูปแบบราคาคริปโต?
หลายทศวรรษมาแล้ว หลังจากการศึกษาแผนภูมิราคามาหลายพันชั่วโมง หรืออาจจะเป็นล้านชั่วโมง นักอ่านแผนภูมิได้ค้นพบว่า ราคาแสดงรูปแบบ และรูปแบบเหล่านี้เกิดขึ้นซ้ำ ๆ ตลอด ถ้าราคาตอบสนองต่อรูปแบบราคาไม่ทางใดก็ทางหนึ่งในอดีต แล้วทำไมมันจะไม่ตอบสนองแบบเดียวกันในอนาคต อย่างไรก็ตาม กิจกรรมของผู้เข้าร่วมตลาดก็ระบุราคาของตราสารนั้น ๆ มนุษย์มักตอบสนองต่อสถานการณ์ด้วยพฤติกรรมที่คล้ายกัน และสิ่งนี้อาจเป็นตัวสร้างรูปแบบพฤติกรรม รูปแบบพฤติกรรมส่วนใหญ่ของเทรดเดอร์และผู้เข้าร่วมตลาดยังสร้างรูปแบบพฤติกรรมของราคาเองด้วย รูปแบบเหล่านี้ยังสามารถใช้ได้กับการเทรดคริปโต รูปแบบราคาบางรูปแบบนั้นยังรวมไปถึงรูปแบบแท่งเทียน และรูปแบบบาร์ รูปแบบแผนภูมิ เช่น สามเหลี่ยม ธง รูปแบบที่ประสานกัน รูปแบบคลื่น Elliot กล่าวได้ว่า มีหลักการของรูปแบบราคาที่ดีมากมายให้ศึกษา ตัวอย่างดังต่อไปนี้ เป็นรูปแบบสามเหลี่ยมของบิทคอยน์ มาทำความรู้จักกันรูปแบบราคานี้อย่างละเอียดกว่าเดิม
![](https://www.forex4you.com/th/wp-content/uploads/sites/4/2020/02/BTCUSD-Triangle-pattern-new.png)
จากแผนภูมิ BTCUSD รายวันข้างบนนี้ เราจะเห็นว่า บิทคอยน์สร้างสามเหลี่ยม 10 เดือนสมบูรณ์ ซึ่งเริ่มเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ เชื่อกันว่าทิศทางของการฝ่าออกจะอยู่ใกล้กับทิศทางระยะสั้นของสินทรัพย์ หลังจากแนวล่างถูกฝ่าออก ในที่สุดบิทคอยน์ก็แตะที่ 3100 ซึ่งยืนยันการคาดการณ์ว่าจะเกิดรูปแบบสามเหลี่ยม
การใช้ตัวชี้วัด และ Oscillator ในการเทรดคริปโต
ตัวชี้วัด คือเครื่องมือทางเทคนิคที่อยู่บนพื้นฐานของการคำนวณทางคณิตศาสตร์ของราคาที่เคยเกิดขึ้น และ/หรือ ปริมาณการเทรดที่เคยเกิดขึ้นเพื่อช่วยส่งสัญญาณซื้อและขาย หรือคาดการณ์การเคลื่อนไหวของตลาดในอนาคต สามารถช่วยในการศึกษาแผนภูมิราคาได้ง่ายมากขึ้น ตัวชี้วัดบางตัวช่วยระบุแนวโน้มว่าเป็นขาขึ้นหรือขาลง ตัวชี้วัดบางตัวใช้เพื่อระบุว่าเงินคริปโตนั้นซื้อมากเกินไป (Overbought) หรือขายมากเกินไป (oversold) ด้วยการเกิดขึ้นของการเทรดระดับสูง ตัวชี้วัดจำนวนมากได้รับการพัฒนาเพื่อให้ตอบสนองต่อวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกัน ตัวชี้วัดประเภทหลัก ๆ ได้ถูกสรุปไว้ข้างล่างนี้แล้ว
ตัวชี้วัดตามแนวโน้มสำหรับการเทรดเงินคริปโต
ตัวชี้วัดตามแนวโน้มช่วยให้ระบุแนวโน้มที่เกิดขึ้นในกรอบเวลาใด ๆ ก็ตาม เช่น Moving Averages ซึ่งแสดงไว้ในตัวอย่างข้างล่างนี้ จากแผนภูมิข่างล่าง คุณจะเห็นว่าในเดือนมกราคม พ.ศ. 2560 ราคาบิทคอยน์ข้าม 100 Exponential Moving Average (100 EMA) ซึ่งชี้ให้เห็นว่าจะเกิดขึ้นแนวโน้มขาขึ้น เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นจริง และแนวโน้มขาขึ้นก็ดำเนินต่อไปตลอดทั้งปี
![](https://www.forex4you.com/th/wp-content/uploads/sites/4/2020/02/BTCUSD-EMA-new.png)
ในปีพ.ศ. 2561 ตัวชี้วัดอ่อนกำลังลง แต่เมื่อราคาลงไปต่ำกว่าตัวชี้วัด แนวโน้มขาลงก็ดำเนินต่อไปจนแตะที่ระดับ 3100 ตัวชี้วัดยังระบุจุดสิ้นสุดของแนวโน้มขาลง และจุดเริ่มต้นของขาขึ้นใหม่ซึ่งเริ่มหลังจากราคาบิทคอยน์ข้ามเส้น Moving Averages ในเดือนเมษายน ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่หลายคนเชื่อว่า บิทคอยน์จะเป็นแนวโน้มขาขึ้นอีกครั้งตลอดทั้งปีพ.ศ. 2561
Oscillator สำหรับการเทรดเงินคริปโต
Oscillator มักถูกทำเป็นดัชนีจาก 0 ถึง 100 เมื่อตัวชี้วัดนี้อ่านได้ 25 หรือต่ำกว่านั้น เงินคริปโตที่ถูกจับตาอยู่นั้นจะถูกพิจารณาว่าเป็นการขายมากเกินไป และอาจเริ่มขยับขึ้น ในทางกลับกัน การอ่านได้ 75 หรือสูงกว่านั้น บ่งบอกถึงการซื้อมากเกินไป และเงินคริปโตอาจะเริ่มขยับลง ประเภทของ Oscillator นั้นมี Relative Strength Index (RSI), Moving Average Convergence Divergence (MACD), Stochastic และอีกมากมาย ในแผนภูมิข้างล่างนี้ เราจะมาดู Relative Strength Index บนแผนภูมิ BTCUSD รายวัน
![](https://www.forex4you.com/th/wp-content/uploads/sites/4/2020/02/BTCUSD-RSI-new.png)
ช่วงปลายปีพ.ศ. 2560 คุณจะเห็นได้ว่า Oscillator ประเภท RSI ข้ามดัชนี 75 ซึ่งเป็นสัญญาณที่แสดงว่าบิทคอยน์อาจร่วงลง การเคลื่อนไหวถัดไปที่ตามมาก็คือการร่วงอย่างรุนแรง ในเดือนพฤศจิกายน/ธันวาคม พ.ศ. 2561 RSI ก็ไปแตะโซนขายมากเกินไป และชี้ให้เห็นว่าบิทคอยน์อาจขยับขึ้น บิทคอยน์ก็อยู่ข้างบนตั้งแต่นั้นมา ในปลายเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2562 บิทคอยน์แตะที่โซนซื้อมากเกินไปอีกครั้ง และราคาก็อ่อนตัวลง และเป็นอีกครั้งที่ Oscillator ประเภท RSI ชี้ให้เห็นเหตุการณ์นี้
ตัวชี้วัดตามปริมาณสำหรับการเทรดเงินคริปโต
ตัวชี้วัดตามปริมาณใช้เพื่อระบุทิศทางของตราสาร และความแข็งแรงของการเปลี่ยนแปลงราคา เช่น On-Balance Volume (OBV)
เคล็ดลับสำหรับการวิเคราะห์เงินคริปโตทางเทคนิค
การเทรดด้วยการวิเคราะห์ทางเทคนิคนั้นเป็นเรื่องง่ายบนกระดาษด้วยตัวอย่างที่รองรับการวิเคราะห์แบบนี้ แต่ความจริงแล้วการนำมาใช้นั้นไม่ง่าย และไม่สมบูรณ์แบบ เทรดเดอร์เงินคริปโตต้องความจริงข้อนี้ และไม่ตั้งความหวังสูงเกินไป หรือตื่นเต้นมากเกินไป เครื่องมือการเทรดและวิธีการเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของการวิเคราะห์ที่ช่วยให้ระบุจุดเข้าและออกสำหรับการเทรดและลงทุนเงินคริปโต การใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิคให้มีประสิทธิภาพนั้น เทรดเดอร์คริปโตสามารถใช้เคล็ดลับต่อไปนี้
เรียนรู้วิธีการเทรด หรือสร้างวิธีการเทรดขึ้นมาจากการใช้เครื่องมือที่กล่าวมาข้างต้นร่วมกัน ดังนั้น คุณจะต้องเข้าใจเครื่องมือเหล่านี้เป็นอับดับแรก และศึกษาเครื่องมือเหล่านี้อย่างละเอียดถี่ถ้วน ระบบการเทรดของคุณต้องให้คำใบ้เกี่ยวกับวิธีการเข้าเทรด และจุดไหนจะทำกำไรและตำแหน่งที่วางจุดหยุดขาดทุน เครื่องมือทางเทคนิคแต่ละตัวมีทั้งข้อดีและข้อเสีย เช่น ตัวชี้วัดตามแนวโน้มจะตามแนวโน้ม แต่มักช้า ในทางกลับกัน Oscillator เป็นตัวชี้วัดชั้นนำซึ่งบางครั้งอาจเคลื่อนไหวในขณะที่ราคาไม่มีแนวโน้ม หรืออาจเคลื่อนไหวไปตามแนวโน้มที่เกิดขึ้นอยู่แล้ว
ทดสอบวิธีการทางเทคนิคที่เรียนรู้มา และสะสมประสบการณ์ด้วยการใช้เครื่องมือที่เลือกเป็นเวลา 1 ปี ระบุอัตราระหว่างได้กับเสีย รวมไปถึงอัตราระหว่างความเสี่ยงกับผลที่ได้ ถ้าสามารถใช้ได้นาน คุณก็ควรใช้ต่อไป แต่ถ้าไม่สามารถใช้ได้นาน ก็ควรทิ้งไป เช่น สำหรับตัวอย่างการเทรดที่ผ่านมาอย่างน้อย 100 ครั้ง ระบบที่ยั่งยืนควรให้อัตราชนะอย่างน้อย 30% ที่อย่างน้อย 1:2 R/R หรืออย่างน้อย 60-70% สำหรับ 1:1 R/R
จดวิธีการที่คุณใช้ และสร้างบันทึกการเทรด ซึ่งจะช่วยให้คุณติดตามการดำเนินงานปัจจุบันของคุณ
ไม่ว่าคุณจะได้กำไรหรือขาดทุนจากการเทรด ก็ไม่สำคัญ เพียงก้าวต่อไป เทรดเดอร์ที่ชนะและการเทรดที่ขาดทุนนั้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งของภาพขนาดใหญ่กว่า
รักษาวินัยและรักษาระดับความเสี่ยงให้อยู่ในระดับที่ดี
เรื่องสำคัญอื่น ๆ ที่ควรรู้เกี่ยวกับการวิเคราะห์เงินคริปโตทางเทคนิค
แนวโน้มหรือผลในอดีตอาจไม่สามารถคาดการณ์แนวโน้มหรือผลในอนาคตได้อย่างแม่นยำ
การรู้ล่วงหน้าว่าจะเทรดชนะหรือขาดทุนนั้นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
การขาดทุนหรือได้กำไรอย่างต่อเนื่องนั้นเป็นเรื่องปกติ
การเทรดที่ได้กำไรและการเทรดที่ขาดทุนนั้นกระจายตัวอย่างไม่มีแบบแผนในชุดการเทรดขนาดใหญ่
คุณมีข้อสงสัยเกี่ยวกับพื้นฐานการวิเคราะห์ทางเทคนิคสำหรับเทรดเดอร์เงินคริปโตหรือเปล่า? ถ้ามี แสดงความเห็นของคุณได้ข้างล่างเลย และเราจะหาคำตอบมาให้คุณ สำหรับบทเรียนเกี่ยวกับการเทรดเงินคริปโต หรือ Forex สามารถดูได้ที่ เว็บ ไซต์ของForex4you สำหรับบทเรียนทั้งหมด การเรียนการสอน เครื่องมือการเทรด และอีกมากมาย