กฎของอุปสงค์และอุปทานทำงานอย่างไร?
ในความหมายทั่วไปแล้ว กฎนี้อธิบายว่า ถ้าความต้องการขาย (อุปทาน) ของผลิตภัณฑ์หนึ่ง ๆ ต่ำกว่าความต้องการซื้อ (อุปสงค์) ราคาของผลิตภัณฑ์นั้นก็จะสูงขึ้นโดยธรรมชาติ เพราะว่ามีคนจำนวนมากที่ต้องการผลิตภัณฑ์นั้นมากกว่าจำนวนผลิตภัณฑ์ที่มี ในทางกลับกัน เมื่อความต้องการขาย (อุปทาน) ของผลิตภัณฑ์หนึ่ง ๆ สูงกว่าความต้องการซื้อ (อุปสงค์) ตามหลักการแล้วราคาของผลิตภัณฑ์ก็จะลดลง เพราะว่ามีผู้ต้องการผลิตภัณฑ์น้อยกว่าจำนวนผลิตภัณฑ์ที่มี ผลิตภัณฑ์จึงล้นตลาด
ราคาของค่าเงินถูกกำหนดอย่างไร?
ตอนนี้เราก็รู้จักกฎของอุปสงค์และอุปทานแล้ว ต่อไปมาตอบของคำถามสำคัญในบทเรียนนี้กัน นั่นก็คือ “ราคาของค่าเงินถูกกำหนดอย่างไร?” กฎของอุปสงค์และอุปทานนำมาใช้กับค่าเงินเช่นกัน ยิ่งมีอุปสงค์หรือความต้องการต่อค่าเงินหนึ่ง ๆ ก็จะทำให้ค่าเงินนั้นมีมูลค่าสูงกว่าค่าเงินอื่น อย่างไรก็ตาม มูลค่าจะลดลงเมื่อบุคคลและสถาบันเลือกที่จะไม่ถือสกุลเงินของประเทศ เช่น ถ้าความต้องการทั่วโลกต่อเงินดอลลาห์สหรัฐเพิ่มขึ้น มูลค่าของค่าเงิน USD จะสูงขึ้นเมื่อเทียบกับค่าเงินอื่น นอกจากนี้ ราคาค่าเงินยังสามารถเรียกได้ว่าเป็น อัตราแลกเปลี่ยนทันที (Spot Exchange Rate) ซึ่งเป็นอัตราที่ค่าเงินหนึ่งจะซื้อขายกับอีกค่าเงินหนึ่งในวันเดียวกัน และเป็นค่าเงินที่มีการซื้อขายมากที่สุด กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ตลาดนี้จะกำหนดราคาที่สามารถแลกเปลี่ยนระหว่างคู่ค่าเงินหนึ่งได้
ใครเป็นผู้มีอิทธิพลรายวันและรายใหญ่ที่สุดของราคาค่าเงิน?
ปริมาณ Forex ทั้งหมดจะถูกดำเนินการผ่านธนาคารที่ใหญ่ที่สุดของโลกประมาณ 10 แห่ง ซึ่งรวมไปถึง JPMorgan Chase & Co., HSBC Holdings PLC และธนาคารอื่น ๆ ซึ่งธนาคารเหล่านี้มีหน้าที่กำหนดราคาให้กับลูกค้าของธนาคารต่าง ๆ และยังรับผิดชอบในเรื่องการชดเชยความเสี่ยงกับธนาคารอื่น ๆ อีกด้วย จำนวนธนาคารทั้งหมด รวมไปถึงผู้ที่ทั้งซื้อและขายเงินดอลลาห์ ได้สร้างอุปสงค์และอุปทานของค่าเงินโดยมีเงินดอลลาห์สหรัฐเป็นค่าเงินหลัก ซึ่งรวมไปถึงระบบระหว่างธนาคาร (Interbank System) ซึ่งรับผิดชอบต่อการสร้างและความผันผวนของคู่ค่าเงิน ธนาคารคนกลางมักสรุปการประเมินค่าที่เฉพาะเจาะจงสำหรับค่าเงินตามปัจจัยต่าง ๆ ที่เปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันเหล่านี้ได้แก่:
-
ราคาตลาดปัจจุบัน
-
มีปริมาณการเทรดเท่าไหร่ในระดับราคานั้น ๆ
-
ความคิดเห็นของพวกเขาเกี่ยวกับตำแหน่งต่อไปของค่าเงินนั้น
-
และระดับสินค้าคงคลังของพวกเขา
เพราะฉะนั้น จึงเป็นเรื่องที่น่าสนใจเวลาท่องเที่ยวต่างประเทศแล้วดูความแตกต่างของอัตราแลกเปลี่ยนในแต่ละประเทศ